จริงๆแล้วคำว่าออสโลมีความหมายอีกอย่างคือ The Tiger City สะท้อนภาพลักษณ์แห่งความตื่นเต้นและเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราว โดยหนึ่งในแลนด์มาร์คของออสโลก็คือรูปปั้นทองแดงเสือที่ตั้งอยู่หน้าสถานีออสโลซึ่งถูกสร้างขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 1,000 ปีของกรุงออสโล เมือปีค.ศ. 2000

ออสโลเป็นเมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ เป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นปอดของยุโรปเพราะด้วยเหตุที่นอร์เวย์เป็นประเทศที่จริงจังในเรื่องมลพิษและขยะกันมากโดยจะมีเครื่องรีไซเคิลขวดน้ำอยู่มากมายตามสถานที่ต่างๆจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เป็นเมืองที่ดูสะอาดอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนั้น ต้นไม้และสวนสาธารณะก็มีอยู่มากมายรวมไปถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆที่ยึดหลักในการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นหลักยกตัวอย่างเช่นสนามบินออสโลที่ได้สมญานาม The World’s Greenest หมายความว่าเป็นสนามบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเลยทีเดียว

The Royal Palace, Karl Johans gate
พระราชวังหลวงแห่งนอร์เวย์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยภายในราชวังจะมีไกด์ท้องถิ่นพาเดินและคอยอธิบายข้อมูลของราชวังเช่น ห้องประชุม, ห้องรับแขกสีขาว, ห้องประทับของกษัตริย์ King Haakon VII, เรือนกระจก รวมไปถึงห้องอาหาร

ถนนสายช้อปปิ้งเส้นหลักของเมืองที่ตั้งชื่อตาม Carl John กษัตริย์แห่งนอร์เวย์ โดยถนนเส้นนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่สถานีออสโลยาวไปจนถึง The Royal Palace อีกด้วยโดยทุกๆวันที่ 17 พฤษภาคม วันชาติของนอร์เวย์ก็จะมีทหารออกมาเดินพาเหรดกันบนถนนเส้นนี้

Mathallen Food Market
ศูนย์อาหารที่อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง ภายในมีลักษณะคล้ายกับโกดังหลังคาสูงโดยจะรวมทั้งร้านอาหารและขนมกว่า 30 ร้านที่ผ่านการเลือกแล้วว่ารสชาติไม่ธรรมดา เนื่องจากคอนเซ็ปหลักของศูนย์อาหารแห่งนี้คือการที่อยากรณรงค์ให้คนทำอาหารกินเองที่บ้าน ครัวของทุกร้านจึงเป็นแบบเปิดให้คนที่เดินผ่านไปมาได้เห็นขั้นตอนการปรุงอาหารกันอย่างละเอียดกันเลย

Oslo Opera House
โรงละครแห่งชาติ แลนด์มาร์คที่โด่งดังประจำออสโลซึ่งสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวและตกแต่งด้วยกระจก ภายนอกถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้คนสามารถเดินข้ามหลังคาของตึกหรือแม้กระทั่งดูการฝึกซ้อมที่อยู่ภายในอาคารได้อีกด้วย

National Gallery
สถานที่รวบรวมภาพวาดโดยจิตกรชื่อดังมากมายซึ่งแต่ละภาพสะท้อนวิถีชีวิตของคนเมืองในสมัยก่อนรวมไปถึงภาพภูมิประเทศ ผลงานที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันมีชื่อว่า The Scream โดย Edvard Munch ในปีค.ศ. 1893 ซึ่งถ้าใครสนใจในผลงานของ Munch เป็นพิเศษก็ควรจะไปที่ Munchmuseet ด้วยเพราะเป็นสถานที่จัดแสดงผลงานของชายคนนี้โดยเฉพาะ

Vigeland
สวนประติมากรรมกลางแจ้งใหญ่ที่สุดในโลกที่จัดแสดงผลงานที่เกี่ยวกับมนุษย์เป็นหลักอยู่ใน Frogner Park โด่งดั่งในเรื่องศิลปมนุษย์เปลือย โดยชิ้นงานที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่คือ The Monolith(โมโนลีท) เสาความสูง 14 เมตรที่มีรูปปั้นมนุษย์เปลือยอยู่ทั้งหมด 121 ตัว มีความหมายตรงตัวก็คือการปีนป่ายเหยียบกันขึ้นไปเพื่อที่จะขึ้นไปในจุดสูงสุดของชีวิตให้ได้

Ekebergparken
สวนสาธารณะบนเนินเขาที่จะมีรูปปั้นงานศิลปะที่จะเน้นไปถึงอิริยบทของสุภาพสตรีวางอยู่ตลอดเส้นทาง นอกจากนั้นยังเป็นจุดชมวิว Fjord และเมือง Oslo จากมุมสูงอีกด้วย

Holmenkollen
ลานกระโดดสกีลักษณะคล้ายงวงช้างที่เคยใช้เป็นที่แข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวเมื่อปีค.ส.1952 ซึ่งนอร์เวย์เป็นเจ้าภาพในปีนั้นโดยเราสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้านในซึ่งจะแสดงวิวัฒนาการของสกีที่มีมายาวนานกว่า 4,000 ปี

The Viking Ship Museum
พิพิธภัณฑ์จัดแสดงวิวัฒนาการของการเดินเรือที่นำเรือไวกิ้งที่มาจากช่วงพันกว่าปีที่แล้วมาจัดแสดง ซึ่งหนึ่งในนั้นจะมีเรือที่เคยถูกใช้บรรจุศพและสมบัติของผู้ตายเอาไว้ การฝังศพด้วยวิธีนี้ถือว่าเป็นเกียรติยศสูงส่งต่อผู้เสียชีวิตเลยทีเดียว

สถานที่น่าสนใจนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้นก็จะมีพิพิธภัณฑ์แห่งการเดินเรือ Kon-Tiki และ Museo Polar Ship, โรงละครแห่งชาติ The National Theatre และ ศาลาว่าการประจำเมือง The City Hall

*สาระน่ารู้*
หลายคนสงสัยว่าทำไมน้ำเปล่าใส่ขวดธรรมดาๆในประเทศนอร์เวย์ถึงขายแพงมาก สาเหตุก็คือเค้ารวมค่ารีไซเคิลไปแล้วนั่นเอง

โดยแต่ละขวดก็จะมีราคาบอกอยู่บนฉลากอย่างชัดเจน ถ้าเราอยากได้เงินค่ารีไซเคิลนั้นคืนก็ต้องเอาขวดไปหย่อนใส่เครื่องรีไซเคิล จากนั้นเครื่องก็จะคืนเงินมาให้เราไม่ว่าจะในรูปแบบเงินสดหรือคูปองที่ใช้สำหรับซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต

สัตว์ประหลาดในตำนานของนอร์เวย์ที่เรียกกันว่า Troll โดยของฝากยอดนิยมก็จะเป็นตุ๊กตา Troll ตัวเล็กที่หาได้ตามร้านขายของที่ระลึก